รู้ไหมว่า…ทำไมชาวญี่ปุ่นนิยมดื่มชาเพียง 2 ชนิด

สาเหตุเป็นเพราะว่า ชาอู่หลงนั้นรสชาติไม่ต่างจากชาเขียวญี่ปุ่นมาก และชาวญี่ปุ่นมีค่านิยมว่าอะไรที่สามารถผลิตเองได้ภายในประเทศ ก็จะไม่ซื้อให้เสียเงิน ในขณะเดียวกัน ชาวญี่ปุ่นไม่ผลิตชาดำ และชาดำก็มีรสชาติที่ต่างจากชาเขียวมาก ในกรณีของชาดำ จึงมีเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นยอมซื้อชาดำมาดื่มได้นั่นเอง

” ชาปลอมในประวัติศาสตร์ “

ในระยะเริ่มแรกที่ชาถูกนำเข้าไปขายยังยุโรปเมื่อราวๆ 400 กว่าปีก่อนนั้น ชาถือเป็นของสูง ที่คนมีเงินเท่านั้นที่สามารถซื้อหามาดื่มได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ชาก็เริ่มแพร่หลายลงมาสู่กลุ่มชนชั้นกลาง ก่อให้เกิดการบริโภคชาในวงกว้างมากขึ้น แต่กระนั้นความต้องการชาก็ยังมีมากเสียจนหลายๆครั้ง

กาลเวลากับชาขาว

ที่เมืองจีนมีการกล่าวถึงชาขาวว่า “หนึ่งปีเป็นชา สามปีคือยา เจ็ดปีเป็นสมบัติล้ำค่า” 一年茶、三年药、七年宝 หมายถึงว่าชาขาวที่ยิ่งเก่าเก็บจะยิ่งมีมูลค่าสูง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรสชาติที่เกิดการพัฒนาตัวระหว่างการเก็บ อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะคุณสมบัติทางยาที่ชาวจีนเชื่อว่าชาขาวเก่าเก็บ(และชา

红茶 Black tea ใบชาที่ถูกนวด

红茶 Black tea ใบชาที่ถูกนวดแล้ว เข้าสู่กระบวนการ oxidation โดยระหว่างที่นวด เซลล์ในใบชาจะแตกออก เอนไซม์ต่างๆทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี หากควบคุมระดับการนวด และสภาวะในการ oxidation ตั้งแต่อุณหภูมิ

Four Season Tea ชาสี่ฤดู

เมื่อเร็วๆนี้ผมเริ่มค้นพบว่า เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของชาคือสายพันธุ์ที่มีค่อนข้างหลากหลาย เพราะเมื่อศึกษาลงลึกไปจริงๆ จะพบว่าสายพันธุ์ในปัจจุบันไม่ใช่มีแค่พันธุ์จีนหรือพันธุ์อัสสัม แต่ในสองสายพันธุ์หลักนี้ก็สามารถแยกย่อยได้อีกเป็นร้อยๆสายพันธุ์

 โร่วกุ้ย กับ ต้าหงเผา

ทั้งสองตัวนี้มาจากเขตอุทยานอู่อี๋ซานครับ จากแหล่งปลูกที่ชื่อว่าหม่าโถวเหยียน 马头岩 หรือผาหัวม้า เป็นแหล่งปลูกที่ทำการปลูกชาสองชนิดนี้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง

ยอดชาจินจวิ้นเหมย สีทองสมชื่อ

สาเหตุที่เป็นสีทองแบบนี้เป็นเพราะใบชาถูกเก็บเฉพาะยอดแหลมครับ พอนำมานวด ผ่านกระบวนการ oxidation ใบชาจึงกลายเป็นสีน้ำตาล โดยเฉพาะส่วนของขนชา (tea hair) ที่บางงานวิจัยทำการทดสอบแล้วพบว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งพอถูกความร้อนแล้วก็จะกลายเป็นสีทองอย่างที่

ซะโด วิถีแห่งชา

“…แรกเริ่มเดิมทีนั้น ชาถูกใช้เป็นยาก่อนพัฒนาไปสู่เครื่องดื่มในภายหลัง ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 ชาได้พัฒนาไปสู่ขอบเขตของการกวี ในฐานะเครื่องมือแห่งการบรรเทิงศิลปะชนิดหนึ่ง กระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 15 ณ ประเทศญี่ปุ่นได้มีการทำให้ชามีความสูงส่งยิ่งขึ้นจนเป็นศาสนาแห่งความงาม

การนั่งในห้องญี่ปุ่น

การนั่งในห้องญี่ปุ่น ถ้านั่งอย่างสุภาพต้องนั่งแบบเซสะ (正座) คือการนั่งแบบเบญจางคประดิษฐ์ เพียงแต่ที่ญี่ปุ่นนั้น ทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะนั่งโดยการนั่งทับเท้าลงมา ไม่มีการแบ่งแยกว่าผู้ชายจะต้องนั่งเท้าตั้งตรงแบบของไทย

ใบชาพันธุ์อัสสัม มีขนาดใหญ่มาก

หลายร้อยปีก่อน มนุษย์เชื่อกันว่าต้นชาเป็นพืชที่ขึ้นอยู่เฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น จนกระทั่งอังกฤษยึดอินเดียเป็นอาณานิคม จึงมีการสำรวจป่า เพื่อค้นหาพืชที่จักรวรรดิอังกฤษสามารถนำไปเพาะปลูกเพื่อค้าขายได้ ในช่วงแรก นักสำรวจชาวอังกฤษสังเกตว่าชนพื้นเมืองชาวอัสสัมมีการบริโภค